สับสนแต่กำเนิด
ความสับสนตรงนี้เกิดจากพัฒนาการทางร่างกายที่ผิดปกติ จะกระทั่งทำให้มีสภาพอวัยวะเพศที่กำกวม ซึ่งบางครั้งก็ส่งผลให้แพทย์ที่ทำคลอดนั้นเข้าใจผิด จนถึงขั้นว่าไม่สามารถตัดสินเพศได้ก็มี ซึ่งกรณีแบบนี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
- ภาวะกระเทยแท้ (Hermaphroditism)
- ภาวะกระเทยเทียม (Pseudo-Hermaphrodite)
1.) ภาวะกระเทยแท้ (Hermaphroditism)
คือสภาวะของคนที่เกิดมาพร้อมกับมีระบบสืบพันธุ์ทั้งสองเพศ เนื่องจากเซลล์อวัยวะเพศของเพศใดเพศหนึ่ง ไม่เหี่ยวสลายตัวไปตามที่ควรจะเป็นในช่วงพัฒนาการระยะตัวอ่อน โดยชื่อภาษาอังกฤษนี้ได้มาจากเทพนิยายกรีกโบราณ นั่นคือ Hermaphroditus ซึ่งรวมร่างกับเทพธิดา Salmacis รวมกันเป็นร่างเดียวและมีอวัยวะเพศทั้ง 2 เพศ
อ่านเรื่องเล่า ตำนานของ Hermaphroditus
Hermaphorditus ที่มีหน้าอกและอวัยวะเพศชาย |
2.) ภาวะกระเทยเทียม (Pseudo-Hermaphrodite)
กลุ่มนี้มีโครโมโซม XX และ XY พร้อมระบบสืบพันธุ์ภายในที่ถูกต้องตรงตามลักษณะพันธุกรรม แต่อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกคลุมเครือ หรือตรงกันข้ามกับลักษณะทางพันธุกรรม แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
2.1 ) ในเพศหญิงเรียกอาการดังกล่าวว่า Adrenogenital Syndrome (AGS) หรือ อีกชื่อหนึ่งคือ Congenital Adrenal Hyperplasia ซึ่งอาการดังกล่าวเกิดจาก ต่อมหมวกไตผลิตฮอร์โมนเพศชายมากเกินไปในช่วงพัฒนาการของตัวอ่อนในครรภ์ ทำให้อวัยวะเพศดูคล้ายผู้ชาย จนบางครั้งแพทย์ที่ทำคลอดเองก็เข้าใจผิดคิดว่าทารกเป็นผู้ชาย ถ้าปัญหานี้ไม่ถูกตรวจพบและแก้ไข ต่อมหมวกไตก็จะผลิตฮอร์โมนเพศชายต่อไป
สำหรับการแก้ไขปัญหานี้ทำได้ด้วยการฉีดฮอร์โมน Cortisone และการศัลยกรรมอวัยวะเพศให้หายคลุมเครือ ซึ่งจะทำให้คนไข้เติบโตขึ้นเป็นผู้หญิงปกติทั่วไป แต่ก็มีรายงานบ้างว่า บางคนมีลักษณะเป็นทอมบอย แต่ส่วนใหญ่เป็นรักต่างเพศ นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าการรักษาด้วยฮอร์โมน Cortisone นั้นทำให้ความต้องการทางเพศลดลง
2.2 ) ในเพศชายเรียกอาการดังกล่าวว่า Androgen Insensitivity Syndrome บางทีก็เรียกว่า Testucular Feminization Syndrome กรณีนี้เกิดจากอัณฑะผลิตฮอร์โมน Testosterone ปกติ แต่เนื้อเยื่อของร่างกายไม่ตอบสนอง ทำให้อวัยวะเพศหญิงพัฒนาการขึ้นมาโดยปราศจากระบบสืบพันธุ์ภายในที่เป็นผู้หญิง บุคคลประเภทนี้จะถูกเลี้ยงดูขึ้นมาเป็นเพศหญิงตามลักษณะภายนอก จนกระทั่งเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น เด็กจะไม่มีประจำเดือน และเราจะทราบความผิดปรกตินี้ได้หลังจากการตรวจรักษา นอกจากนี้แล้ว อัณฑะที่ไม่มีการพัฒนาการอย่างชัดเจน ยังเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง แพทย์ส่วนใหญ่จึงตัดออก ซึ่งบุคคลเหล่านี้ทั้งรูปร่างและพฤติกรรมจะเป็นผู้หญิง เพียงแต่ให้กำเนิดบุตรไม่ได้ แต่สามารถเป็นแม่ที่ดีได้ มีเสน่ห์ดึงดูดทางเพศและมีลักษณะผู้หญิงชัดเจน
เพิ่งเริ่มสับสน
อวัยวะเพศภายนอกแสดงออกมาชัดเจนว่าเป็นเพศไหน แต่เมื่อโตขึ้นแล้วจึงค่อยๆเกิดความสับสนระหว่างเพศทางร่างกายที่ติดตัวมาแต่กำเนิด กับเพศที่เจ้าของร่ายกายนั้นคิดว่าตัวเองเป็น ซึ่งสาเหตุของอาการนี้ ยังไม่ทราบแน่ชัด ในทางการแพทย์เรามีวิธีการรักษาสำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนเพศทางกายให้ตรงกับเพศทางใจ เรียกว่า Sexual Reassignment หรือการผ่าตัดแปลงเพศนั่นเอง แบบที่ได้รับความนิยมและผลหลังการผ่าตัดที่ได้เป็นที่พึงพอใจ ทั้งในเรื่องของความงามและการใช้งาน คือ การผ่าตัดเปลี่ยนเพศจากชายเป็นหญิง ซึ่งเปลี่ยนได้เฉพาะลักษณะทางเพศภายนอกเท่านั้น อวัยวะเพศภายใน การให้กำเนิดบุตร และโครโมโซม ไม่สามารถเปลี่ยนไปจากเพศดั้งเดิมได้
ส่วนในการเปลี่ยนจากเพศหญิงไปเป็นเพศชายนั้น การผ่าตัดจะยากมากกว่า และผลที่ได้ก็ยังไม่ค่อยจะใกล้เคียงธรรมชาติสักเท่าไหร่นัก
ทางการแพทย์ได้ให้คำอธิบายสำหรับเรื่องนี้ (Gender Identity Disorder) โดยใช้เกณฑ์ในการวินิจฉัยดังนี้
1.) การเอาอย่างเพศตรงข้ามอย่างชัดเจนและเป็นอยู่ตลอด (ไม่ใช่เป็นเพียงแต่ความต้องการในการได้เปรียบ จากการกลายเป็นอีกเพศหนึ่งตามวัฒนธรรมนั้นๆ) สำหรับในเด็ก ความผิดปกติประกอบด้วยลักษณะต่อไปนี้ ตั้งแต่ 4 ข้อขึ้นไป
- แสดงความต้องการเป็นเพศตรงข้ามอยู่เสมอ หรือยืนยันว่าตนเองเป็นเพศตรงข้าม
- ในเด็กชาย พบชอบแต่งตัวด้วยชุดของผู้หญิง หรือคล้ายกับชุดของผู้หญิง ในเด็กหญิงมีการยืนยันว่าจะใส่แต่ชุดที่ใส่กันเฉพาะเพศชาย
- ชอบเล่นเป็นเพศตรงข้าม ในการละเล่นแบบสมมุติ หรือมีจินตนาการว่าเป็นเพศตรงข้าม โดยจะเป็นอยุ่ตลอด
- ต้องการร่วมในเกมที่เป็นของเพศตรงข้าม หรือมีงานอดิเรกแบบเพศตรงข้าม
- ต้องการที่จะมีเพื่อนคู่หูเป็นเพศตรงข้ามอย่างมาก
2.) มีความอึดอัดไม่สบายใจกับเพศของตน หรือมีความรู้สึกว่าบทบาทตามเพศของตนเองนั้นไม่เหมาะสมอยู่ตลอด
ในวัยเด็ก ความผิดปกติอันนี้ประกอบด้วยลักษณะใดๆดังต่อไปนี้ เช่น ในเด็กชายยืนยันอยู่เสมอว่าองคชาติหรืออัณฑะของตนเองนั้นน่ารังเกียจหรือจะหดหายไปในช่วงวัยรุ่น หรือตอนเป็นผู้ใหญ่ ความผิดปกติแสดงออกทางอาการเช่น หมกมุ่นกับการกำจัดลักษณะที่บ่งบอกทางเพศดั้งเดิม หรือเชื่อว่าตนเองเกิดมาผิดเพศ
3.) ความผิดปกตินี้ไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกับภาวะที่มีลักษณะกายภาพทางเพศกำกวม
4.) ความผิดปกตินี้ก่อให้ผู้ป่วยมีความทุกข์ทรมานอย่างมีนัยสำคัญทางการแพทย์ หรือทำให้กิจกรรมด้านสังคม การงาน หรือด้านอื่นๆที่สำคัญบกพร่องลง
ทั้งหมดที่กล่าวมายังไม่ใช่ทั้งหมด มันยังมีในอีกหลายแง่มุม ซึ่งจะได้เอามาให้อ่านกันภายหลัง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น