วันพุธที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2557

สับสนทางเพศ

คำว่า "สับสนทางเพศ" ผู้คนมักจะนึกถึง กระเทย ตุ๊ด เกย์ ทอม ดี้ เนื่องจากค่านิยมเดิมๆ ถ้ามีการแสดงออกทางเพศที่ผิดแผกไปจาก ชายรักหญิง หรือ หญิงรักชาย หรือมีการแสดงออกทางเพศที่ไม่ค่อยจะตรงกับเพศที่ได้รับมาแต่กำเนิด เราก็มักจะเรียกพวกเขาเหล่านั้นว่า เป็นผู้มีความสับสนทางเพศทันที ซึ่งวันนี้จะมาแสดงออกถึงมุมมองของคำว่า "สับสนทางเพศ" ในอีกมุมมองหนึ่ง

สับสนแต่กำเนิด
  ความสับสนตรงนี้เกิดจากพัฒนาการทางร่างกายที่ผิดปกติ จะกระทั่งทำให้มีสภาพอวัยวะเพศที่กำกวม ซึ่งบางครั้งก็ส่งผลให้แพทย์ที่ทำคลอดนั้นเข้าใจผิด จนถึงขั้นว่าไม่สามารถตัดสินเพศได้ก็มี ซึ่งกรณีแบบนี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ

  1. ภาวะกระเทยแท้ (Hermaphroditism)
  2. ภาวะกระเทยเทียม (Pseudo-Hermaphrodite)

1.) ภาวะกระเทยแท้ (Hermaphroditism)
    คือสภาวะของคนที่เกิดมาพร้อมกับมีระบบสืบพันธุ์ทั้งสองเพศ เนื่องจากเซลล์อวัยวะเพศของเพศใดเพศหนึ่ง ไม่เหี่ยวสลายตัวไปตามที่ควรจะเป็นในช่วงพัฒนาการระยะตัวอ่อน โดยชื่อภาษาอังกฤษนี้ได้มาจากเทพนิยายกรีกโบราณ นั่นคือ Hermaphroditus ซึ่งรวมร่างกับเทพธิดา Salmacis รวมกันเป็นร่างเดียวและมีอวัยวะเพศทั้ง 2 เพศ
อ่านเรื่องเล่า ตำนานของ Hermaphroditus 

Hermaphorditus ที่มีหน้าอกและอวัยวะเพศชาย
ลักษณะที่สำคัญของกระเทยแท้คือมีโครโมโซม XY ส่วนใหญ่มีมดลูก มีรังไข่ และท่อรังไข่ด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งมีอัณฑะ และท่ออสุจิ รูปร่างของอวัยวะเพศภายนอกจึงดูคลุมเครือ และพบว่าเด็กราวๆ 2 ใน 3 จะถูกเลี้ยงมาแบบเด็กผู้ชาย ด้วยสาเหตุมาจาก ปุ่ม Clitoris มีขนาดใหญ่มากจนดูเหมือนรูปร่างขององคชาต แต่พอเข้าสู่วัยรุ่น ก็จะเริ่มพบปัญหาใหม่ เพราะจะเริ่มมีหน้าอกและมีประจำเดือน  แต่อย่างไรก็ตาม กระเทยแท้นั้นพบได้น้อยมาก

2.) ภาวะกระเทยเทียม (Pseudo-Hermaphrodite)
       กลุ่มนี้มีโครโมโซม XX และ XY พร้อมระบบสืบพันธุ์ภายในที่ถูกต้องตรงตามลักษณะพันธุกรรม แต่อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกคลุมเครือ หรือตรงกันข้ามกับลักษณะทางพันธุกรรม แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

        2.1 ) ในเพศหญิงเรียกอาการดังกล่าวว่า Adrenogenital Syndrome (AGS) หรือ อีกชื่อหนึ่งคือ Congenital Adrenal Hyperplasia ซึ่งอาการดังกล่าวเกิดจาก ต่อมหมวกไตผลิตฮอร์โมนเพศชายมากเกินไปในช่วงพัฒนาการของตัวอ่อนในครรภ์ ทำให้อวัยวะเพศดูคล้ายผู้ชาย จนบางครั้งแพทย์ที่ทำคลอดเองก็เข้าใจผิดคิดว่าทารกเป็นผู้ชาย ถ้าปัญหานี้ไม่ถูกตรวจพบและแก้ไข ต่อมหมวกไตก็จะผลิตฮอร์โมนเพศชายต่อไป
      สำหรับการแก้ไขปัญหานี้ทำได้ด้วยการฉีดฮอร์โมน Cortisone และการศัลยกรรมอวัยวะเพศให้หายคลุมเครือ ซึ่งจะทำให้คนไข้เติบโตขึ้นเป็นผู้หญิงปกติทั่วไป แต่ก็มีรายงานบ้างว่า บางคนมีลักษณะเป็นทอมบอย แต่ส่วนใหญ่เป็นรักต่างเพศ นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าการรักษาด้วยฮอร์โมน Cortisone นั้นทำให้ความต้องการทางเพศลดลง

       2.2 ) ในเพศชายเรียกอาการดังกล่าวว่า Androgen Insensitivity Syndrome บางทีก็เรียกว่า Testucular Feminization Syndrome กรณีนี้เกิดจากอัณฑะผลิตฮอร์โมน Testosterone ปกติ แต่เนื้อเยื่อของร่างกายไม่ตอบสนอง ทำให้อวัยวะเพศหญิงพัฒนาการขึ้นมาโดยปราศจากระบบสืบพันธุ์ภายในที่เป็นผู้หญิง บุคคลประเภทนี้จะถูกเลี้ยงดูขึ้นมาเป็นเพศหญิงตามลักษณะภายนอก จนกระทั่งเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น เด็กจะไม่มีประจำเดือน และเราจะทราบความผิดปรกตินี้ได้หลังจากการตรวจรักษา นอกจากนี้แล้ว อัณฑะที่ไม่มีการพัฒนาการอย่างชัดเจน ยังเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง แพทย์ส่วนใหญ่จึงตัดออก ซึ่งบุคคลเหล่านี้ทั้งรูปร่างและพฤติกรรมจะเป็นผู้หญิง เพียงแต่ให้กำเนิดบุตรไม่ได้ แต่สามารถเป็นแม่ที่ดีได้ มีเสน่ห์ดึงดูดทางเพศและมีลักษณะผู้หญิงชัดเจน

เพิ่งเริ่มสับสน
    อวัยวะเพศภายนอกแสดงออกมาชัดเจนว่าเป็นเพศไหน แต่เมื่อโตขึ้นแล้วจึงค่อยๆเกิดความสับสนระหว่างเพศทางร่างกายที่ติดตัวมาแต่กำเนิด กับเพศที่เจ้าของร่ายกายนั้นคิดว่าตัวเองเป็น ซึ่งสาเหตุของอาการนี้ ยังไม่ทราบแน่ชัด ในทางการแพทย์เรามีวิธีการรักษาสำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนเพศทางกายให้ตรงกับเพศทางใจ เรียกว่า Sexual Reassignment หรือการผ่าตัดแปลงเพศนั่นเอง แบบที่ได้รับความนิยมและผลหลังการผ่าตัดที่ได้เป็นที่พึงพอใจ ทั้งในเรื่องของความงามและการใช้งาน คือ การผ่าตัดเปลี่ยนเพศจากชายเป็นหญิง ซึ่งเปลี่ยนได้เฉพาะลักษณะทางเพศภายนอกเท่านั้น อวัยวะเพศภายใน การให้กำเนิดบุตร และโครโมโซม ไม่สามารถเปลี่ยนไปจากเพศดั้งเดิมได้
ส่วนในการเปลี่ยนจากเพศหญิงไปเป็นเพศชายนั้น การผ่าตัดจะยากมากกว่า และผลที่ได้ก็ยังไม่ค่อยจะใกล้เคียงธรรมชาติสักเท่าไหร่นัก

ทางการแพทย์ได้ให้คำอธิบายสำหรับเรื่องนี้ (Gender Identity Disorder) โดยใช้เกณฑ์ในการวินิจฉัยดังนี้

1.) การเอาอย่างเพศตรงข้ามอย่างชัดเจนและเป็นอยู่ตลอด (ไม่ใช่เป็นเพียงแต่ความต้องการในการได้เปรียบ จากการกลายเป็นอีกเพศหนึ่งตามวัฒนธรรมนั้นๆ)  สำหรับในเด็ก ความผิดปกติประกอบด้วยลักษณะต่อไปนี้ ตั้งแต่ 4 ข้อขึ้นไป

  • แสดงความต้องการเป็นเพศตรงข้ามอยู่เสมอ หรือยืนยันว่าตนเองเป็นเพศตรงข้าม
  • ในเด็กชาย พบชอบแต่งตัวด้วยชุดของผู้หญิง หรือคล้ายกับชุดของผู้หญิง ในเด็กหญิงมีการยืนยันว่าจะใส่แต่ชุดที่ใส่กันเฉพาะเพศชาย
  • ชอบเล่นเป็นเพศตรงข้าม ในการละเล่นแบบสมมุติ หรือมีจินตนาการว่าเป็นเพศตรงข้าม โดยจะเป็นอยุ่ตลอด
  • ต้องการร่วมในเกมที่เป็นของเพศตรงข้าม หรือมีงานอดิเรกแบบเพศตรงข้าม
  • ต้องการที่จะมีเพื่อนคู่หูเป็นเพศตรงข้ามอย่างมาก
    ในวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ ความผิดปกติแสดงออกโดยอาการต่างๆ เช่น แสดงความต้องการเป็นเพศตรงข้ามอยู่เสมอ มักปัสสาวะแบบเพศตรงข้าม ต้องการใช้ชีวิตหรือได้รับการปฎิบัติจากผู้อื่นแบบเพศตรงข้าม หรือมีความเชื่อฝังในว่าตนเองมีความรู้สึกหรือปฎิกิริยาต่างๆ ดังที่เพศตรงข้ามเป็น

2.) มีความอึดอัดไม่สบายใจกับเพศของตน หรือมีความรู้สึกว่าบทบาทตามเพศของตนเองนั้นไม่เหมาะสมอยู่ตลอด
    ในวัยเด็ก ความผิดปกติอันนี้ประกอบด้วยลักษณะใดๆดังต่อไปนี้  เช่น ในเด็กชายยืนยันอยู่เสมอว่าองคชาติหรืออัณฑะของตนเองนั้นน่ารังเกียจหรือจะหดหายไปในช่วงวัยรุ่น หรือตอนเป็นผู้ใหญ่ ความผิดปกติแสดงออกทางอาการเช่น หมกมุ่นกับการกำจัดลักษณะที่บ่งบอกทางเพศดั้งเดิม หรือเชื่อว่าตนเองเกิดมาผิดเพศ

3.) ความผิดปกตินี้ไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกับภาวะที่มีลักษณะกายภาพทางเพศกำกวม

4.) ความผิดปกตินี้ก่อให้ผู้ป่วยมีความทุกข์ทรมานอย่างมีนัยสำคัญทางการแพทย์ หรือทำให้กิจกรรมด้านสังคม การงาน หรือด้านอื่นๆที่สำคัญบกพร่องลง

ทั้งหมดที่กล่าวมายังไม่ใช่ทั้งหมด มันยังมีในอีกหลายแง่มุม ซึ่งจะได้เอามาให้อ่านกันภายหลัง



วันอังคารที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2557

อาหารไม่ย่อย : Dyspepsia


อาหารไม่ย่อย (Dyspepsia, Indigestion) คือ อาการของผู้ป่วยที่อาหารไม่ย่อย จะมีอาการจุกเสียด แน่นท้อง
โดยมากมักจะเกิดจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารของผู้ป่วย เช่น การรับประทานอาหารมากเกินไป หรือเร็วเกินไป
อาหารที่มันๆ เลี่ยนๆ หรืออาหารรสเผ็ดจัด นอกจากเรื่องของการรับประทานอาหารแล้ว เรื่องของความเครียดก็มีส่วนทำให้เกิดด้วยเช่นกัน



อาการที่เกิดขึ้นนั้นไม่เพียงแต่แสดงความผิดปรกติ หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับกระเพาะอาหารและลำไส้
แต่อาจจะเป็นอาการของโรคอื่นๆ เช่น โรคหัวใจล้มเหลว วัณโรคปอด มะเร็ง และภาวะโลหิตเป็นพิษจากภาวะไตวาย เป็นต้น

สาเหตุที่จะส่งผลให้อาการจุกเสียด แน่นท้องทวีความรุนแรงมากขึ้น ได้แก่ ความเครียด ความเหนื่อยล้า การรับประทานอาหารไม่เพียงพอ การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ และขาดการออกกำลังกาย

อาการปวดแน่นท้อง ไม่สบายท้องนั้นสาเหตุนึงมาจากอาหารไม่ย่อยแล้ว อาจจะเป็นตัวชี้ว่าผู้ป่วยอาจจะมีโรคอื่นๆแอบแฝงอยู่ด้วยก็เป็นได้ ดังนั้นเมื่อมีอาการก็ควรจะใส่ใจรักษาโรคตั้งแต่เนิ่นๆ


แผนผังสำหรับวิเคราะห์ อาการอาหารไม่ย่อย




คำแนะนำผู้ป่วย

  • ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการโค้งงอตัว หรือนอนราบหลังรับประทานอาหาร
    เพื่อช่วยป้องกันกรดไหลย้อน ทำให้แสบที่ อกได้
  • ควรงดเคี้ยวหมากฝรั่ง เพื่อไม่ให้อากาศ หรือแก๊ส เข้าสู่กระเพาะมากขึ้น
  • ไม่ควรรับประทานอาหารที่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร
    ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเผ็ดจัด หรือ มันมากจนเกินไป
  • ควรงดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะทำให้อาหารไม่ย่อย
  • ไม่ควรสวมใส่เข็มขัดที่รัดแน่นจนเกินไป
  • ควรหลีกเลี่ยงจากสภาวะเครียด เพราะจะส่งผลให้อาการอาหารไม่ย่อยรุนแรงมากขึ้น
  • ในขณะรับประทานอาหาร ควรเคี้ยวให้ละเอียด และไม่ควรกินเร็ว เพราะจะส่งผลให้อาหารไม่ย่อย หรือย่อยยากมากขึ้น
  • ควรรีบปรึกษาแพทย์ หากพบว่ามีอาการผิดปรกติที่รุนแรงมากขึ้น หรือถ้ามีอาการปวดท้องที่บ่อยขึ้น นานขึ้น เพื่อหาสาเหตุและรักษาได้ถูกต้อง
  • การใช้ยาลดกรดจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดที่เกิดจากแผลในกระเพาะอาหารได้ และอาจจะส่งผลให้แผลสมานเร็วขึ้น
  • ถ้าผู้ป่วยได้รับการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมแล้วว่าเป็นอาการอาหารไม่ย่อย และไม่มีแผลในกระเพาะอาหาร ผู้ป่วยควรจะตรวจสุขภาพทั่วไปเพิ่มเติม เพื่อให้แน่ใจได้ว่าผู้ป่วยไม่มีโรคร้ายแรงอื่นๆ แอบแฝงอยู่

ผมเคยเป็นโรคกรดไหลย้อน (GERD) นอกจากจะมีอาการหลังจากที่ทานอาหารเสร็จแล้ว ในบางครั้งเมื่อเรานอนแล้วตื่นมาในตอนเช้า เรารู้สึกแสบคอเป็นอย่างมาก เนื่องจากกรดมันไหลย้อนขึ้นมายังบริเวณลำคอ แต่ถ้าเราไม่รู้ว่าเราเป็นโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารนี้ เราจะนึกไปว่า เราเจ็บคอและอาจจะทำให้วินิจฉัยได้ผิดที่ และเราก็จะแสบคอ เจ็บคอ อยู่เรื่อยไป

ขอให้ทุกคนสุขภาพแข็งแรงปลอดภัยจากโรคภัยไข้เจ็บกันนะครับ


วันจันทร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2557

บำรุงไต - ดูแลสุขภาพในมุมมองของแพทย์จีน

       นาง มัลลิกา อายุ 34 ปี มีอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง และมึนศรีษะอยู่เป็นประจำ อาการดังกล่าวเป็นมาร่วมปีแล้ว เธอไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล แต่ว่าผลที่ออกมาก็ปรกติดีทุกอย่าง เธอจึงได้รับเพียงคำแนะนำว่าอย่าเครียดและยาปลอบใจ ให้เธอนำกลับมาบำรุงร่างกายต่อที่บ้าน แม้ว่าเธอจะทานยาที่ได้รับมา แต่อาการต่างๆที่เป็นก็ไม่ได้ทุเลาลง นอกจากนี้ก็ยังมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ปัสสาวะบ่อย นอนไม่หลับ ขี้หนาว สะดุ้งตื่นอยู่เป็นประจำ ปวดเมื่อยตามร่างกาย ผิวหน้าหมองคล้ำ ผมร่วง เป็นต้น มันเกิดอะไรขึ้นกับนางกันแน่นะ?

       สารพัดอาการที่เกิดขึ้นกับนาง ถ้าลองวินิจฉัยตามหลักของแพทย์จีน ตีความได้ว่าเกิดจาก ภาวะไตอ่อนแอ ซึ่งเป็นศัพท์เฉพาะของการแพทย์จีนและ ไม่ใช่โรคไตในความหมายของแพทย์ตะวันตก โดยมีความหมายว่า สภาพของไตกำลังเสื่อมลง ไม่แข็งแรงเท่าที่ควร ทำให้ไตขับน้ำส่วนเกินและของเสียออกจากร่างกายน้อยง เกิดผลกระทบต่อดุลยภาพของอิเล็กโทรไลต์และความเป็นกรดด่างภายในร่างกาย รวมทั้งเกิดภาวะฮอร์โมนสำคัญหลายชนิดที่สร้างขึ้นจากไตและต่อมหมวกไตด้วย การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้จะนำไปสู่อาการผิดปกติของอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย หากไม่มีการบำบัดรักษาอย่างทันท่วงที จะทำให้เกิดอาการแก่ก่อนวัยและพัฒนาไปเป็นโรคร้ายต่างๆ อันได้แก่ โรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง อัมพฤกษ์ อัมพาต โรคเกาต์ ภูมิแพ้ หรือ แม้แต่โรคซึมเศร้า เป็นต้น หรืออาจจะพัฒนากลายเป็นโรคไตและไตวายในที่สุด

ไตคือรากฐานของชีวิต
          ไต (รวมทั้งต่อมหมวกไต) มีบทบาทที่สำคัญในการควบคุมการเจริญเติบโตของร่างกาย การพัฒนาสมอง การสร้างกระดูก การสร้างเม็ดเลือด สมรรถภาพทางเพศ การสืบพันธุ์และความชรา อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์กับระบบการทำงานของหัวใจ ปอด ตับ ม้าม ระบบฮอร์โมน ระบบประสาทและระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายด้วย

หน้าที่การทำงานที่สำคัญของไต
  • ขับของเสียออกจากร่างกาย
  • รักษาภาวะสมดุลของน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย
  • รักษาภาวะสมดุลของสภาวะความเป็นกรดและด่างในร่างกาย
  • ควบคุมความดันโลหิตของร่างกายให้อยู่ในสภาวะปรกติ
  • ควบคุมและสร้างฮอร์โมนที่สำคัญหลายชนิด
  • ควบคุมความแข็งแกร่งของกระดูก

สาเหตุที่ทำให้ไตเสื่อมเร็วกว่าปรกติ
        โดยทั่วไป ไตจะเสื่อมลงตั้งแต่อายุ 30 ปี ซึ่งเป็นความเสื่อมของร่างกายไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่มีปัจจัยหลากอย่างที่จะทำให้ไตเสื่อมลงอย่างรวดเร็วก่อนไวอันควร เช่น กรรมพันธุ์ การมีเพศสัมพันธ์มากเกินควร ประสบอุบัติเหตุ ทำงานหนัก พักผ่อนไม่เพียงพอ ผลกระทบจากโรคเรื้อรังต่างๆ เป็นต้น
นอก
      นอกจากนี้ ปัจจัยเสี่ยงในชีวิตประจำวันก็มีผลทำให้ไตเสื่อม เช่น ผลข้างเคียงจากการใช้ยา ความเครียด มลภาวะที่เป็นพิษในปัจจุบัน สารตกค้างหรือยาฆ่าแมลงในผักผลไม้ ฮอร์โมนที่สะสมในเนื้อสัตว์ อาหารทะเลที่แช่ฟอร์มาลินหรือได้รับสารปนเปื้อนจากสิ่งแวดล้อม สารโซเดียมที่ผสมอยู่ตามอาหาร ขนมขบเคี้ยวและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป รวมไปถึงการรับประทานอาหารรสจัด รสเค็ม และเครื่องดื่มที่ผสมสี ฯลฯ

ด้วยปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ล้วนส่งผลต่อไต และทำให้ไตเสื่อมลงเร็วกว่าปกติ เราจึงเห็นบ่อยๆว่า ยังมีอีกหลากหลายคน ที่ยังหนุ่ม ยังสาว แต่มีอาการของภาวะไตอ่อนแออย่างครบครัน เช่นเดียวกับ นาง มัลลิกา

ในภาวะไตอ่อนแอจะแสดงอาการอย่างไรบ้าง
            ภาวะไตอ่อนแอจะแสดงอาการได้หลากหลายขึ้นอยู่กับระบบต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งอาจจะแสดงอาการใดอาการหนึ่งหรือหลายๆอาการพร้อมๆกันเลยก็ได้ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพความเสื่อมของไต อายุและระยะเวลาที่เรื้อรัง โดยจะจำแนกอาการตามระบบต่างๆดังนี้
  1. ระบบทางเดินปัสสาวะ  ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะกลางคืน ปัสสาวะกะปริดกะปรอย กลั้นไม่อยู่ บวมน้ำตามร่างกาย ฯลฯ
  2. ระบบกล้ามเนื้อและกระดูก  ปวดหลัง ปวดเอว แขนขาอ่อนแรง ตะคริวบ่อย หนาวหรือชาปลายมือปลายเท้า ปวดตามข้อ กระดูกพรุน โรคเกาต์ ฯลฯ
  3. ระบบประสาท   นอนไม่หลับ ฝันบ่อย เวลานอนแขนขากระตุก หรือสะดุ้งตื่นเป็นประจำ หรือฝันว่าตกจากที่สูงจนตกใจตื่นเป็นประจำ ขี้หลงขี้ลืม ขาดสมาธิ วิงเวียนปวดศรีษะ ซึมเศร้า วิตกกังวล อ่อนเพลียเรื้อรัง ขี้หนาว ฯลฯ
  4. ระบบทางเดินอาหาร  เบื่ออาหาร ลำไส้แปรปรวน อุจจาระร่วงเป็นประจำ ท้องอืดท้องเฟ้อ ท้องผูก ฯลฯ
  5. ระบบภูมิต้านทาน  เป็นหวัดบ่อยหรือเป็นหวัดง่าย ลมพิษ สะเก็ดเงิน เริม SLE ฯลฯ
  6. ระบบทางเดินหายใจ  ระคายคอบ่อย ไอเรื้อรัง หอบหืด ฯลฯ
  7. ระบบสืบพันธุ์  หย่อนสมรรถภาพทางเพศ หลั่งเร็ว ประจำเดือนมาผิดปกติ ช่องคลอดไม่กระชับ มีบุตรยากหรือแท้งบุตร เข้าสู่วัยทองก่อนวัยอันควร ฯลฯ
  8. สภาพร่างกายภายนอก ผิวหน้าหมองคล้ำ หยาบกร้าน มีฝ้าบนใบหน้า ใต้ตาหมองคล้ำ หน้าอกหย่อนยาน ผมร่วง ผมหงอกก่อนวัย น้ำหนักขึ้นหรือลงอย่างฮวบฮาบ ฯลฯ
  9. หู-ตา  หูอื้อ ตาพร่า น้ำในหูไม่เท่ากัน ฯลฯ
วิธีการบำบัดแบบองค์รวมของการแพทย์จีน
         สำหรับอาการต่างๆ ที่เกินจากภาวะไตอ่อนแอ การแพทย์จีนแนะนำควรปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวันให้ถูกสุขลักษณะและควรรักษาแต่เนิ่นๆ เนื่องจากอาการของภาวะไตอ่อนแอมักจะเรื้อรังอย่างช้าๆ จนเราคุ้นเคยกับความผิดปกติของร่างกายถึงขนาดลืมไปแล้วว่าตอนปกติจริงๆนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง นอกจากนี้ผลการตรวจการทำงานของไตตามหลักการแพทย์ตะวันตกที่ต้องรอให้ไตเสียไปมากกว่า 70% ถึงจะแสดงค่า BUN และ Creatinine ที่สูงขึ้นนั้น ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้คนจำนวนมากเข้าใจผิดและชะล่าใจว่า ถ้าผลตรวจดี แปลว่าไตยังแข็งแรงเป็นปรกติดีอยู่ ทั้งๆที่จริงๆแล้ว ไตอาจจะเสื่อมไปมากแล้วก็ตาม วิธีการรักษาทางการแพทย์จีนจะเน้นการบำรุงรักษาไตเป็นหลัก เพื่อบำบัดหลายๆอาการของภาวะไตอ่อนแอไปพร้อมๆกัน ทั้งๆที่แต่ละอาการดูเหมือนจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันในมุมมองของการแพทย์ตะวันตกก็ตาม

เมื่อไตแข็งแรงขึ้น อาการของภาวะไตอ่อนแอทั้งหลายก็จะค่อยๆ ทุเลาลงหรืออาจหายไปในที่สุด


วันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2557

รองเท้าของฉัน


รองเท้าที่เหมือนกับเพื่อนที่ติดตามเราไปทุกแห่งหน และคอยปกป้องอะไรก็ตามที่มันจะมาทำร้ายเท้าของเรา ดังนั้นการเลือกรองเท้าสักคู่ จึงควรพิจารณาให้ดี เหมือนเพื่อนคู่ใจที่อย่าให้มันหันมาทำร้ายสุขภาพเท้าของเรา เพราะปัญหาที่เกี่ยวกับเท้า มักจะมีสาเหตุมาจากการสวมใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะสม

หลักสำคัญๆในการเลือกรองเท้า
   ในการเลือกรองเท้าสักคู่ เราความเลือกให้เหมาะสม โดยพิจารณาจาก 3 เรื่องได้แก่
  1. ขนาดของเท้าเรา - ควรเลือกให้พอดี ไม่แน่น ไม่หลวมเกินไป
  2. รูปร่างของเท้าเรา - เพราะเท้าคนเรารูปร่างไม่เหมือนกัน แม้รองเท้าเบอร์เดียวกัน แต่อาจจะไม่เหมาะกับรูปร่างของเท้าเราก็ได้
  3. เหมาะสมกับการใช้งาน - จะใช้แบบสบายๆ  ตีแบต เล่นบอล เล่นบาส หรือ วิ่ง ก็เลือกให้เหมาะสม
แต่โดยรวมๆแล้ว เราควรจะเลือกใส่รองเท้าที่ใส่แล้วสบาย ไม่แข็ง ไม่คับแคบ ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยในการเลือกรองเท้าสักคู่ ก็อาจจะแตกต่างกันไปตามการใช้ชีวิตประจำวันของแต่ละคน เช่น ถ้าใส่รองเท้าเพื่อไปติดต่อธุรกิจ ก็จำเป็นจะต้องมีเรื่องความภูมิฐานมาเกี่ยวข้อง ในขณะที่การเล่นกีฬาก็จะให้ความสำคัญกับเรื่องของพื้นรองเท้า เช่น รองเท้าสำหรับตีแบต พื้นก็จะเป็นยาง และ ควรจะเลือกพื้นที่มีความหนาและนุ่ม เพื่อช่วยลดแรงกระแทก เวลาที่เรากระโดด หรือ พุ่งตัวออกไปด้วยความเร็ว จะได้ลดแรงสะท้อนที่จะมากระทำต่อข้อต่อ หรือ หัวเข่าเรา เป็นต้น

การเลือกซื้อรองเท้า

  1. เลือกขนาดและรูปร่างให้เหมาะสมกับเท้าของเรา  
               ความยาวของรองเท้าที่เหมาะสม คือ ส้นเท้าจะชิดส้นรองเท้าพอดี ส่วนหัวรองเท้าจะเหลือพื้นที่เท่ากับความกว้างของนิ้วหัวแม่มือโดยให้วัดจากนิ้วเท้าที่ยาวที่สุด ซึ่งอาจจะไม่ใช่นิ้วหัวแม่เท้าเสมอไป นอกจากนั้น หัวรองเท้าก็ควรจะกว้างและลึกเพียงพอที่จะไม่กดและเสียดสีกับนิ้วเท้า และสุดท้าย ส่วนที่กว้างที่สุดของรองเท้าควรจะตรงและพอดีกับตำแหน่งที่กว้างที่สุดของเท้า
  2. เลือกซื้อรองเท้าในช่วงบ่าย
             คุณอาจจะงงๆ ว่าทำไมต้องมีช่วงเวลามาเกี่ยวข้องกับการเลือกซื้อรองเท้า เหตุผลนั่นก็คือ เท้าคนเราตอนเช้ากับตอนบ่าย มันไม่เท่ากัน  โดยที่ เท้าจะมีขนาดใหญ่ขึ้นประมาณครึ่งเบอร์ หลังจากผ่านการเดินมาตลอดทั้งวัน สาเหตุที่ใหญ่ขึ้นเพราะ เลือดไหลเวียนลงสู่เท้ามากขึ้น จึงควรเลือกซื้อรองเท้าในช่วงนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหารองเท้าคับเกินไปในภายหลัง
  3. เลือกรองเท้าที่ไม่แบนเกินไป
            พื้นรองเท้าที่แบนราบเกินไปไม่เหมาะกับสรีระเท้า ต่อการรับน้ำหนัก และจะทำให้เมื่อยได้ง่าย จึงควรเลือกรองเท้าที่มีพื้นรองเท้าที่นิ่มและเสริมบริเวณอุ้งเท้า พื้นรองเท้าที่แข็งไม่ว่าจะด้านนอกหรือด้านใน ล้วนแต่ส่งผลเสียต่อเท้าของเรา และกรณีพื้นด้านนอกแข็งจะไม่มีตัวดูซับแรงกระแทกเวลาที่เราก้าวเดิน ดังนั้นแรงกระแทกก็จะส่งกลับมาที่ข้อเท้า ข้อเข่า อาจจะทำให้เกิดอาการปวด
    ขึ้นที่บริเวณเหล่านี้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าต้องใส่รองเท้าคู่นั้นบ่อยๆ
  4. ขณะเลือกรองเท้า ให้ลองสวมรองเท้าทั้ง 2 ข้างเสมอ
           เหตุผลเพราะว่า เท้าของคนเราทั้ง 2 ข้างมันไม่เท่ากัน (แต่รองเท้าหนะ เท่ากัน) สำหรับบางคน เท้าทั้งสองข้างอาจจะต่างกันได้ถึง 1 เบอร์กันเลยทีเดียว ดังนั้นการเลือกซื้อรองเท้าจำเป็นต้องเลือกโดยยึดเอาข้างที่ใหญ่กว่าเป็นหลัก และเมื่อสวมรองเท้าแล้ว ควรลองเดินดูด้วย เพราะว่าเท้าคนเราจะแผ่กว้างขึ้นขณะที่ยืนและเดิน
  5. ควรเลือกรองเท้าด้วยตัวเองเสมอ
            เหตุผลง่ายๆก็เพราะเท้าคนเรามีรูปทรงที่แตกต่างกัน เมื่อเราไม่ได้ลองด้วยตัวเอง เมื่อฝากผู้อื่นซื้อรองเท้า หรือ สั่งมาจากอินเตอร์เน็ต ก็อาจจะได้รองเท้าที่ไม่เหมาะกับเท้าเราก็เป็นได้ และเนื่องจากคุณจะเสียดายตัง คุณก็เลยจำใจใช้มันไป และสุดท้ายมันก็ส่งผลต่อร้ายต่อเท้าของคุณ นอกจากนี้ รองเท้าแต่ละยี่ห้อ แม้จะเป็นเบอร์เดียวกันแต่ขนาดก็อาจจะไม่เท่ากัน หรือ รองเท้าที่คนละรูปทรงกัน แม้จะเบอร์เดียวกัน ขนาดมันก็ไม่เท่ากันอยู่ดี   ดังนั้นให้ดีที่สุดก็ไปเลือกและลองสวมมันเดินๆดู
  6. เผื่อเนื้อที่ไว้กันคับ
           อย่าลืมว่ารองเท้าบางชนิด อาจจะต้องการอุปกรณ์เสริมต่างๆ เช่น แผ่นกันรองเท้ากัด แผ่นรองเท้า หรือ การใส่ถุงเท้าหนาๆ เหล่านี้จะทำให้รองเท้าเราคับมากขึ้นดังนั้น หากคิดว่าจะต้องใช้สิ่งเหล่านี้ ก็ควรจะเลือกรองเท้าที่มีขนาดใหญ่ขึ้นสักเล็กน้อย โดยเฉพาะในกรณีของถุงเท้า หากเป็นถุงเท้าที่หนามาก ก็ต้องเผื่อขนาดไว้ใหญ่หน่อย
  7. อย่าซื้อรองเท้าแบบเผื่อโต
           เราชอบเห็นผู้ใหญ่พูดว่า ซื้อใหญ่ขึ้นหน่อย ซื้อหลวมๆหน่อย เผื่อเด็กมันโต นั่นเป็นเลือกที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เนื่องจากรองเท้าจะไม่กระชับและหากพื้นที่รองเท้าส่วนหน้าเหลือเยอะ เวลาเด็กเดินอาจจะสะดุดล้มได้ เรียกว่า เสียค่ารองเท้านิดหน่อยไม่เอา จะไปเสียค่าหมอแทน นอกจากนี้ควรระวังเล่ห์กลของเด็กน้อยไว้ด้วย เพราะถ้าเด็กชอบรองเท้าคู่ไหน รองเท้าคู่นั้นจะพอดีกับเท้าน้องเค้าเสมอ ดังนั้นทางที่ดีลองตรวจสอบให้ละเอียดก่อนซื้อ

รองเท้าที่เหมาะสมในแต่ละคน

  • นักกีฬา 
    • ควรเลือกซื้อรองเท้ากีฬาหลังจากเดินสักพัก หรือ หลังจากเล่นกีฬาเสร็จ  เพราะเท้าจะมีขนาดเดียวกันกับขณะเล่นกีฬา
    • ควรเลือกที่พื้นรองเท้านิ่ม ระบายอากาศได้ดี และมีความยืดหยุ่นเพื่อรองรับแรงกระแทกได้ดี
    • หากกีฬาที่เล่นมีการใช้ปลายเท้ามาก เช่น การวิ่ง ควรเลือกรองเท้าที่มีน้ำหนักเบา กระชับ และมีการออกแบบให้รองรับแรงกระแทกส่วนหน้าโดยเฉพาะ
    • มีโครงช่วยประคองข้อเท้าด้านหลัง (heel counter)
    • ถ้าเป็นกีฬาที่ต้องใช้การบิดหรือการหมุนของข้อเท้ามาก เช่น บาสเก็ตบอล ก็ควรเลือกรองเท้าที่หุ้มมาถึงข้อเท้า ไม่ใช่หุ้มแค่ระดับตาตุ่มเท่านั้น
    • สำหรับการปิดรองเท้า จะมี 2 แบบคือผูกเชือกกับเวลโคร (ที่ชอบเรียกกันว่า ตีนตุ๊กแก) หากต้องการความกระชับมาก อย่างนักกีฬามืออาชีพ ควรเลือกแบบผูกเชือก แต่ถ้าไม่ต้องกระชับมากไปและรู้สึกว่ายุ่งยากในการผูกเชือกก็เลือกแบบเวลโคร
  • ผู้มีอาการปวดส้นเท้า  
    • การปวดส้นเท้าส่วนใหญ่เกิดจากจุดยึดพังผืดที่อยู่บริเวณส้นเท้ามันอักเสบ ซึ่งมักปวดมากในการเดินก้าวแรกหลังตื่นนอน เพราะพังผืดถูกยืดขึ้นทันทีทันใด  
    • รองเท้าที่เหมาะสมกับผู้ที่มีปัญหานี้ควรมีพื้นนิ่ม มีส้นเล็กน้อย เพื่อถ่ายเทน้ำหนักไปยังเท้าส่วนหน้า
    • การใส่รองเท้าที่มีการเสริมอุ้งเท้าและรวดฝ่าเท้าก่อนลุกจากเตียง รวมถึงการบริหารโดยการยืดเอ็นร้อยหวายจะช่วยลดการปวดเท้าและลดการเกิดอาการช้ำได้
  • ผู้ป่วยเบาหวาน
    • มักมีปลายประสาททำงานที่ผิดปรกติ ทำให้เท้าชา มีนิ้วเท้าหงิกงอ ทำให้ฝ่าเท้าด้านหน้ารับน้ำหนักมาก และนิ้วเท้าเสียดสีกับหัวรองเท้า
    • ควรเลือกใส่รองเท้าพื้นนิ่ม มีหัวลึกและกว้าง
    • ห้ามใช้รองเท้าคีบ เพราะอาจจะทำให้เกิดแผลบริเวณร่องนิ้วเท้าโดยไม่รู้ตัว

รองเท้าบาส หุ้มมาถึงข้อ เหมาะกับการบิด หรือ หมุนตัว
รองเท้าสำหรับวิ่ง
รองเท้าสำหรับตีแบด พื้นยางมักจะเป็นสีเหลือง

รองเท้าสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน นิ่มและไม่ทำให้เกิดแผล

ถ้ามีโอกาสได้ไปญี่ปุ่น มีรองเท้ากีฬา Ascis  สนนราคาถูกว่าเมืองไทยเยอะ และเหมาะกับการวิ่งด้วย ส่วนตัวผม ไปสอยรองเท้ากีฬายี่ห้อ มิตซูโนะ มาคู่นึง แต่ไม่ว่าจะยี่ห้อไหนก็ผลิตข้างๆบ้านเรานี่แหละ

เพื่อให้ปลอดภัยต่อเท้าของเรา เราก็ควรเลือกรองเท้าให้เหมาะสมกับคุณที่สุด ไม่ต้องไปสนใจเท้าคนอื่น เพราะนี่คือ "รองเท้าของฉัน"  :)

ยาสำหรับการเดินทาง

ยาสำหรับการเดินทาง

สำหรับทุกคนที่กำลังวางแผนการเดินทาง ไม่ว่าจะเนื่องด้วยเรื่องของธุรกิจ เช่น การประชุม สัมนา รวมไปถึงการเดินทางไปท่องเที่ยวพักผ่อน นอกจากเรื่องของเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวอื่นๆแล้ว สิ่งหนึ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ไม่อยากให้ลืมก็คือ เรื่องของยา  เราไม่ควรประมาท หากเจ็บป่วยระหว่างการเดินทางขึ้นมาแล้วการไปหาซื้อยาในที่ๆไม่คุ้ยเคย หรือ การไปหาหมอในต่างประเทศ คงไม่ง่ายไปกว่าท่านเตรียมยาไปเองครับ

คำถามที่มักจะถามกันเกี่ยวกับเรื่องของ ยาสำหรับการเดินทาง
Q : ถ้าจะเดินทาง เราควรจะเตรียมยาอะไรติดตัวไปบ้าง

หลักการพื้นฐานที่สุดก็คือ

  • เตรียมยารักษาโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ก็นำยาที่เกี่ยวกับเบาหวานไปด้วย
  • เตรียมยารักษา หรือ บรรเทาอาการเจ็บป่วยที่พบบ่อยๆ ระหว่างเดินทาง อันได้แก่ ปวดศรีษะ แพ้อากาศ จาม น้ำมูกไหล ท้องเสีย ผื่นแพ้คัน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เป็นต้น
  • กรณีที่ไม่ได้มีโรคประจำตัวใดๆ ก็สบาย เพียงแค่เตรียมยาบรรเทาอาการเจ็บป่วยที่มีโอกาสเกิดขึ้น เช่น เมารถ เมาเรือ แมลงสัตว์กัดต่อย (ทาถูๆ) บาดแผลทั่วไป แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ซึ่งสรุปง่ายๆก็คือที่เราเรียก ยาสามัญประจำบ้าน นั่นเอง 
  • นอกจากยา ที่จะบรรเทาอาการเจ็บป่วยโดยทั่วไปแล้ว อาจจะพิจารณารายการยาให้เหมาะสมกับช่วงสภาพภูมิอากาศหรือภูมิประเทศในการเดินทางด้วย เช่น หนาวจัด ที่สูงจัด ร้อนจัด ลงทะเล เข้าป่า เป็นต้น
ก็เพียงแค่ท่านพก และ นำมันออกจากบ้านไปกับท่านด้วย เท่านี้ก็อุ่นใจขึ้นเยอะ

Q : ยาแก้ปวดลดไข้

          ยาแก้ปวดลดไข้ที่ควรพกติดตัวท่านไป แบบพื้นๆที่สุดคงหนีไม่พ้น พาราเซตามอล เพราะมันไม่เพียงแต่บรรเทาอาการปวดศรีษะจากพิษไข้ แต่มันยังสามารถบรรเทาอาการปวดข้อเข่าที่เกิดจากข้อเข่าเสื่อมสำหรับผู้สูงวัยได้ด้วย  แต่ถึงแม้ว่ายาพารา จะถูกมองว่าเป็นยาที่มีความปลอดภัยและหาซื้อได้ง่ายก็ตาม แต่หากใช้มากเกินไปก็อาจจะเกิดอันตรายได้

ปริมาณการใช้ยาลดไข้ ที่พึงระวัง
          ขนาดยาสูงสุดต่อวันที่รับได้คือไม่เกิน 4000 มิลลิกรัม (และเชื่อว่าถ้าคุณกินในระดับที่ใกล้กับ 4000 มิลลิกรัมต่อวันนี่แสดงว่าคุณคงเป็นโรคอะไรที่ต้องรีบไปพบแพทย์โดยด่วนแล้วหละ) ดังนั้นหากคุณซื้อยาพาราในท้องตลาดที่มักจะมีขนาด 500 มิลลิกรัมต่อเม็ด คุณก็ไม่ควรจะทานเกินวันละ 8 เม็ด (นอกจาก 500 มิลลิกรัมแล้ว มันยังมีรุ่น 800 มิลลิกรัม กรุณาอ่านฉลากยากให้ดีก่อนด้วย)

ยาแบบผสมตัวยา
      แม้ว่าคุณจะคำนวนมาอย่างดี ว่าคุณกินพาราไม่เกิน 8 เม็ด แต่บางครั้งเมื่อคุณกินยาอีกชนิด เช่น ยาแก้หวัดคัดจมูก บางครั้งมันก็อาจจะมีส่วนผสมของพาราเซตามอล ร่วมด้วยก็ได้และมันจะทำให้คุณกินพารา เกินกว่าขนาดที่ควรจะเป็นโดยไม่รู้ตัว ฉะนั้นก่อนกินยา ก็ควรสละอ่านฉลากยาสักนิด เพื่อจะได้ปลอดภัย

ระยะเวลาการใช้ยาต่อเนื่อง
       นอกจากเรื่องของปริมาณตัวยาแล้ว เราไม่ควรจะทานพาราเซตามอล ติดต่อกันเกิน 5 วัน เพราะนั่นหมายถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับตับคุณ

Q : ยาแก้แพ้อากาศ จาม น้ำมูกไหล
      ยาที่นิยมใช้กันมาก นั่นคือ ยาลดน้ำมูก แก้แพ้อากาศที่มีตัวยาที่ชื่อ คลอร์เฟนิรามีน โดยที่ตัวยานี้จะมีสรรพคุณใช้ได้ตั้งแต่บรรเทาอาการแพ้อากาศ  อาการจาม ลดน้ำมูก รวมไปถึงผื่นแพ้คัน ลมพิษ
แต่ทว่ามันมีผลข้างเคียงคือ  อาการง่วงซึม และ ปากคอแห้ง (ส่วนปากคอเราะร้ายนี่ไม่เกี่ยวนะจ๊ะ)

แต่ในปัจจุบันนี้ นิยมใช้ยาแก้แพ้อากาศที่ไม่มีฤทธิ์ในการทำให้เกิดอาการง่วงซึม มาแทนยารุ่นเดิม เช่น ตัวยา ลอราทาดีน (loratadine)  เซทิริซิน (cetirizine) ฟีโซฟีนาดีน (fexofenadine)  ยากลุ่มนี้แม้จะมีข้อดีตรงไม่ออกฤทธิ์ให้ง่วง รับประทานเพียงแค่วันครั้ง แต่เห็นผลช้ากว่ายารุ่นเก่าชัดเจนอยู่เหมือนกัน

Q : ยาแก้เมารถ เมาเรือ
     ผู้ที่มีปัญหาเมารถ เมาเรือทำให้เกิดอาการวิงเวียนศรีษะ และ/หรือ อาการคลื่นไส้ อาเจียน ในขณะเดินทาง ก็อาจจะพกยาชื่อว่า ไดเมนไฮดริเนท (dimenhydrinate)

การใช้ยาแก้เมารถ เมาเรือ
    ยานี้ต้องรับประทานก่อนออกเดินทาง 30 นาที และหากเดินทางยาวนานอาจจะต้องรับประทานซ้ำทุกๆ 6-8 ชั่วโมง  และมีข้อเสีย คือ อาการง่วงซึม ปากคอแห้ง และหากรับประทานร่วมกับยาแก้แพ้แล้วหละก็ มันก็อาจจะเสริมฤทธิ์กันทำให้เกิดอาการข้างเดียงดังกล่าวสูงขึ้นอีก



สำหรับผู้ที่กำลังมีแผนการจะเดินทางไป เที่ยวประเทศญี่ปุ่น ถ้าไปช่วงหน้าหนาว ที่อากาศค่อนข้างหนาวจัด อย่าลืมรักษาร่างกายให้อบอุ่น และ พกยาแก้ปวดหัว ปวดท้องไปด้วยนะครับ